Mustang FOX! จิ้งจอกในฝูงม้าป่า ขนาดน้องใหม่ม้าป่า 2017 ยังต้องถอย!?
April 17, 2017ปกติเขียนแต่บทความภาษาอังกฤษ(ไม่ใช่เพราะเก่งแต่เพราะรูปเยอะ เขียนนิดเดียว) วันนี้ขอมาเขียนภาษาไทยกันบ้าง เกี่ยวกับจิ้งจอกที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักแต่กลับกลายเป็นหนึ่งเดียวในสายการผลิตม้าป่าที่ถูกเรียกและขนานนามว่า “จิ้งจอก” หรือ “Mustang FOX Body”
เจ้า Mustang Fox Body ตัวนี้คือสายการผลิตของตระกูลม้าป่า(Mustang) ตั้งแต่ปี 1978-1993 หรือเรียกกันว่า Mustang Gen 3 (3rd Generation) สำหรับเจ้าจิ่งจอกตัวนี้มีที่มาที่ไปยังไง แล้วทำไมทั้งๆที่รถรุ่นนี้ ไม่มีหน้าตาหรือความเป็นม้าป่าเลย แต่กลับได้รับความนิยมพุ่งสุดในยุคของมัน แม้กระทั่งตอนนี้ ราคาของมันก็ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจด้วยซ้ำ
ทำไมถึงเป็น FOX !?
เริ่มจากการที่ Ford มีไอเดียในการผลิตรถที่ใช้ chassis ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น Lincoln Mercury Thunderbird หรือ Mustang เพื่อให้ง่ายต่องานของสายผลิตและการดูแลหลังการขาย FORD จึงได้ออกแบบ “Fox Platform” เพื่อสามารถใช้ได้กับ body รถหลายๆรุ่น แตกต่างที่เครื่องยนต์สำหรับลักษณะการใช้ของแต่ละรุ่น (พูดง่ายๆ เหมือน TAMIYA ที่เราใช้ฐานรถเหมือนกัน เปลี่ยนแค่มอเตอร์กับBODYพลาสติกมาครอบ) Mustang FOX จึงเกิดขึ้นพร้อมกับ BODY 3 ตัวเลือกตามแบบฉบับของตระกูล Mustang คือ แบบ COUPE FASTBACK CONVERTIBLE แน่นอน เครื่องก็แตกต่างกันตามความต้องการของลูกค้าซึ่งนับว่าเป็นความคิดนอกกรอบครั้งแรกของ Mustang เลยทีเดียว
ความเทพที่น้องใหม่มาแรงเปิดตัวยอดขายกระฉูดอย่าง Gen 6 (โฉม 2015-ปัจจุบัน) ยังต้องยอม!?
เมื่อพูดถึงเรื่องความคิดแหวกแนวนอกกรอบของผู้สร้างจิ้งจอกตัวนี้ ถือว่าเป็นการปฎิวัติวงการ Muscle Car ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ เพราะกลับเปิดตัวด้วย OPTION สุดตะลึงด้วย เครื่อง 4 สูบ 2.3L !? มันช่างขัดกับความเป็น Mustang โดยแท้! เนื่องจากที่ผ่านมา Mustang มีแค่ 6 สูบเรียง ซึ่งเป็นเครื่องเล็กสุดในตระกูล Mustang และ V8 เท่านั้นสำหรับ OPTION GT และทำใหญ่ขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เครื่อง V8 ขนาด 289 ยัน 428 นับว่าแปลกแต่จริงที่ FORD ผลิกเกมกลับมาผลิตเครื่อง 4 สูบสำหรับ Mustang(และแน่นอน สำหรับ FOX Platform ทั่วไป) แต่นั้นเป็นเพียงแค่ 1 OPTION สำหรับผู้ต้องการความสบายในการขับประจำวัน ส่วนใหญ่จะไปอยู่ในโฉมเปิดประทุน ไม่ต้องการไปขับซิ่งไหน แต่กลับมี OPTION 2.3L SVO หรือเรียกว่า FORD 2.3 TURBO ในสมัยนั้นออกมา นับเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับวงการรถเลยทีเดียว แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังมาพร้อมกับเครื่อง V8 5.0 ให้คนที่รักใน V8 ได้ลุยกันเต็มที่(ซึ่งต้องขอบอกว่า เด็มที่จริงๆกับเครื่อง 5.0 ตัวนี้) น่าแปลกที่หลังจากโฉมนี้ Mustang พยายามทำเครื่อง 4 สูบมาอีกใน Gen 4 แต่กลับไม่ได้รับความนิยมสักนิดเดียว(จะว่าไป รถMustang Gen 4 แทบจะไม่ได้รับความนิยมเลยด้วยซ้ำ) จนทะลุกลับมาโฉม Gen 6 หรือ Mustang 2015 ถึงโฉมปัจจุบัน ได้นำคอนเซปท์เดิมมาใช้กับเครื่อง Ecoboost ซึ่งหลายๆคนคิดว่าเป็นของใหม่ แต่จริงๆแล้วแนวคิดนี้เจ้าจิ้งจอกได้งาบไปแดกก่อนแล้ว
แค่จิ้งจอก จะแน่สักแค่ไหน?
ฟังดูน่ารัก ปราดเปรียว แต่ไม่น่าจะมีแรงฮึดเหมือนพวกพี่ๆม้าป่าที่เป็นตำนานงูเห่าอย่างพวก GT350 GT500 ได้เลย แต่ต้องขอบอกไว้เลยว่าจิ้งจอกตัวนี้ไม่ธรรมดาด้วยเครื่อง V8 5.0 HO สามารถเทียบรุ่นกับ CAMARO 3rd Gen ได้สูสีทีเดียว ในขณะที่ V8 305 ของ CAMARO Gen3 สามารถแรงได้สูงสุดที่ 245HP@4400RPM ส่วนของ Mustang Gen3 ใช้เครื่อง V8 302 สามารถแรงสูงสุดได้ที่ 235HP@4600RPM ซึ่งน้อยกว่า CAMARO คู่แข่งอมตะอยู่นิดหน่อย แต่กลับได้เปรียบด้านน้ำหนักของตัวรถที่เบากว่า CAMARO ถึง 200-300lbs หรือราวมๆ 90-130kg เลยทีเดียว เพียงแค่น้ำหนักที่ต่างกันเท่านี้ ทำให้ทั้ง 2 รุ่นมีความสูสีในด้านความแรงที่ไม่ต่างกัน นับว่าไม่เลวเลยใช่ไหมสำหรับจิ้งจอกตัวนี้ แต่ความแรงที่แท้จริงยังไม่จบ!
4 สูบ vs 8 สูบ
กล่าวถึงความแรงของ 8 สูบมาแล้วว่าแน่แค่ไหน มาดูความแน่ของเจ้าจิ้งจอกน้อย 4สูบTURBO กันบ้าง หรือ 2.3L SVO ว่าจะแรงสักแค่ไหน! 200HP@5000RPM จากโรงงานสำหรับ 4 สูบตัวนี้ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวใช่ไหมกับความเล็กพริกขี้หนู เมื่อเทียบกับ V8 ในรุ่นเดียวกันที่ได้ 235HP@4600 นับว่า 4 สูบตัวนี้สู้ได้สมชื่อความเป็น Mustang เลยทีเดียว แต่เมื่อเทียบรุ่นกับบรรพบุรุษรุ่นแรกอย่าง Mustang Gen 1 เครื่อง 302 WINSOR ที่ทำได้ 230HP@4800RPM ก็นับว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้แรงดีใช่เล่นทีเดียว!!
อยู่มานานกว่า 40 ปี แต่ราคาไม่ตก!?
ทั้งๆที่หน้าตาก็ไม่ได้จะดีเท่าไหร่(ออกแนวรถญี่ปุ่นด้วยซ้ำ) แต่ราคากลับไม่ตกซ้ำยังสูงเอา สูงเอา สำหรับตัวแรงๆ ทั้งๆที่ในทางกลับกัน Gen 5 ซึ่งยอดขายดีถล่มทลาย(เนื่องจากกลับมาอิงโฉมเหมือนGen 1 ทำให้มีความเป็น Mustang กลับมา)กลับราคาร่วงเอาๆไม่เกรงใจใคร(ถ้าไม่นับ Gen 4) เพราะอะไร!? แน่นอน ความเป็น FOX Platform ทำให้มันสามารถกลายเป็นรถอะไหล่ให้ได้สำหรับรถหลายๆคัน รวมทั้งยังสามารถถูกดัดแปลงไปใส่ยังรถรุ่นอื่นๆได้มากมาย แถมอะไหล่ทั้ง OEM และ AFTERMARKET ไม่ต้องพูดถึง(ใส่ได้แทบจะทุกอย่าง) ช่วงล่างที่ถูกออกแบบมาอย่างดีสามารถนำไปดัดแปลงใส่รุ่นพี่อย่างพวก Mustang ปีเก่าๆกว่าได้ แถมยังทำให้ได้สมรรถนะที่ดีขึ้น ไม่แปลกที่ทำให้รถรุ่นนี้ถูกแยกร่างไปใช้ซ่อมแซมหรือในการบูรณะรถคันอื่นในตระกูล FORD ทั้งหลาย ในส่วนของเครื่องยนต์นับว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งน่าสนใจกว่า นอกเหนือจากความแรงของเครื่องยนต์ที่กล่าวมา ช่วงยุค 1980 คือช่วงเปลี่ยนถ่ายระหว่างยุคของเครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์(Carburetor) มาสู่แบบหัวฉีด(EFI) ซึ่งเครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้สามารถดัดแปลงใช้ได้ทั้ง EFI(ของเดิมที่มาจากโรงงาน) หรือจะเปลี่ยนเป็นแบบคาร์บูก็ได้!? อย่างที่บอก ของแต่งและของดัดแปลงเยอะมาก เล่นแร่แปรธาตุได้สุดๆ และเนื่องจากเป็นลูกครึ่งระหว่าง Carb และ EFI รวมถึงเป็นเครื่องยนต์ปีเก่าของ FORD ที่ไม่มีระบบ ANTI THIEF SYSTEM ทำให้สามารถโมเครื่องกันได้อย่างเต็มที่ เลยไม่แปลกใจเลยที่เราจะเห็นเครื่อง V8 ของรุ่นนี้อยู่ในสนามแข่งหลายๆสนาม ส่วนน้องกลางอย่าง 2.3L SVO ก็กลับกลายเป็นที่นิยมในความแรงในหมู่ TURBO และนำไปวางแทนเครื่องตระกูล FORD SMALL BLOCK เช่นกัน เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดเล็ก แต่ความแรงไม่แพ้ V8 ทีเดียว ส่วนจิ้งจอกน้อย 2.3L ก็ไม่น้อยหน้า เพราะด้วยขนาดเครื่อง 4 สูบเรียง ทำให้สามารถใช้ของแต่งจากรถญี่ปุ่นได้มากมายทีเดียว
นับว่าจิ่งจอกตัวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆใช่ไหมครับ ใครมีในครอบครองก็อย่าเพิ่งมองข้ามความแรงของจิ้งจอกตัวนี้ไป ถือว่ามีของดีแห่งยุค 80 ไว้ในครอบครองเลยทีเดียว